บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ย้อนมอง ก่อนสิ้นอายุขัย
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ย้อนมอง ก่อนสิ้นอายุขัย
37ปีในแวดวงสีกากี ช่วยชาติช่วยสังคม(เฉพาะที่เผยแพร่ได้)อยู่ใน www.angkul007.com หรือดูจาก“รู้ไว้ไม่ตายโหง”ผ่านgoogle อีกมากที่ไม่อาจลงสื่อสาธารณะเพราะอาจทำให้ติดคุกหรือถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังได้ ชีวิตตำรวจเป็นเช่นนี้ทุกคน บางเรื่องฝังใจและนึกถึงเสมอๆ คิดว่าเคยช่วยคน ไม่ได้ทวงบุญคุณเพราะเป็นหน้าที่ ภาคภูมิใจว่าตนยังพอเป็นประโยชน์ ไม่ได้อาศัยยศตำแหน่งทางราชการกินเงินเดือนอย่างเดียว
เรื่องแรก สมัยรับราชการเป็นผู้บังคับหมวดที่ สภ.นครปฐม ทำหน้าที่ร้อยเวร ประมาณ 2 ทุ่มเศษสิบเวรตะโกนเรียก“หมวดๆตำรวจผูกคอตายในห้องขัง” ไม่กี่วินาทีผมก็ช่วยแก้มัดผ้าขาวม้าที่ใช้ผูกคอ เอาตัวตำรวจนอนราบกำพื้น เขานอนนิ่งไม่หายใจ สิ่งที่ร่ำเรียนมาถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก คิดในใจไหนๆเองก็ตายแล้วขอลองวิชาหน่อย คุกเข่าคร่อมทางด้านศีรษะแล้วจับมือทั้งสองข้างของตำรวจผู้นั้นชิดกัน ดึงขึ้นเหนือศีรษะแบบสุดๆแล้วกดกระแทกไปที่ลิ้นปี่แรงๆ ทำซ้ำๆเร็วๆประมาณ10กว่าครั้ง ตำรวจลูกน้องมุงดูประมาณ5-6คน ทำไม่หยุด สักพักตำรวจผู้นั้นเริ่มหายใจแล้วลืมตา ท่ามกลางความดีใจของตำรวจที่มุงดู เจ้าตัวจ้องหน้าผมซึ่งยังนั่งคุกเข่าอยู่ ไม่มีคำขอบคุณ มีแต่คำว่า“หมวด ช่วยผมไว้ทำไม” เป็นคำพูดที่ทำให้จดจำจน นั่นคือเขารู้ว่าผมได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ไม่ได้สนใจจำชื่อจำสกุลเขาด้วย ให้นั่งพักแล้วเชิญกลับเข้าที่ควบคุมอย่างเดิม ตำหนิสิบเวรที่อนุญาตให้ผู้ต้องขังเอาผ้าขาวม้าเข้าห้องขังและยังสั่งให้ถอดเข็มขัดและรองเท้าผู้ต้องขังออกไว้นอกห้องด้วย
ตำรวจผู้นี้เป็นพลตำรวจสังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองกำกับการตำรวจภูธรนครปฐม แต่งนอกเครื่องแบบพกปืนที่เอวปล่อยด้ามปืนโผล่ออกมา ขี่มอไซด์โฉบเฉี่ยวในตลาด พล.ต.ต.วิเชียร แสงแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครปฐมขณะนั้นเห็นเข้า สั่งเขียนรายงาน เจ้าตัวรับสารภาพ ท่านสั่งขังฐานประพฤติตนไม่สมควร เมื่อเกิดเหตุการณ์ผูกคอผมจึงรายงานให้ท่านทราบ ท่านเรียกไปว่ากล่าวตัดเตือนแล้วก็ปล่อยพ้นโทษไป ผมกับตำรวจผู้นี้ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย คงตายไปแล้วไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะนึกถึงผมเหมือนกับที่ผมนึกถึงเขา
เรื่องที่สอง ที่นครปฐมอีกเช่นกัน เรื่องนี้ไม่ได้ช่วยอะไรมากแต่มีเหตุให้จดจำและจะเป็นเรื่องสอนใจคนอ่านด้วย บ่ายวันหนึ่งขณะกำลังเข้าเวรมีโทรศัพท์แจ้ง คนร้ายถือปืนไล่ล่าผู้หญิงที่หัวโค้งถนนมาลัยแมน รีบไปที่เกิดเหตุทันที พบไทยมุงประมาณ20คนล้อมบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากถนน สอบถามได้ความว่าคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นมีปืนหลบอยู่ในบ้าน จับได้ละมุนละม่อมพร้อมปืนพกลูกโม่ พบหญิงสาววัยรุ่น2คนหน้าตาดีแก้ผ้าตัวสั่นอยู่มุมห้อง ขอผ้าถุงจากเจ้าของบ้านให้นุ่งแล้วนำไปสอบที่โรงพัก ได้ความว่าสองสาวสวยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ชายรูปหล่อ2คนลูกค้าทานอาหารชวนนั่งดื่มเบียร์จนเมาได้ที่หรืออาจมียานอนหลับผสมด้วยก็ได้ เมื่อร้านปิดก็ชวนกันไปทานต่อข้างนอก สองสาวหลงกลนั่งรถไปด้วย รู้สึกตัวอีกทีถูกนำไปขายที่ซ่องนครปฐม ปกติสินค้าใหม่มาหน้าตาดีค่าตัวจะสูง ถูกนำไปเก็บไว้ที่ลับๆแล้วนัดลูกค้าขาประจำ สองสาวนี่โดนไปกี่ประตูเธอไม่ยอมบอก มีมือปืนคอยคุมไม่ให้หนี สองสาวหัวดีกว่าโจร ออกอุบายขออาบน้ำ แก้ผ้าอาบทีเดียวสองคน ไอ้โจรบอกว่าอาบได้แต่ห้ามปิดประตูห้อง สาวแก้ผ้ายืนให้ไอ้โจรดู“กูแก้ผ้าแบบหนีจะหนีมึงได้ไงว๊ะ” โจรยอมแต่เก็บเสื้อผ้าสาวไว้นอกห้องและเห็นว่าเป็นบ้านใต้ถุนสูงยังไงก็คงโดดไม่ได้ เสียงน้ำจากฝักบัวยังดังไม่ขาดสาย แต่เสียงห้ามล้อและเสียงแตรรถยนต์จากถนนข้างบ้านดังผิดสังเกต โจรเคาะประตูห้องแล้วส่งเสียงเรียก ไม่มีเสียงตอบ ลงไปดูใต้ถุนบ้านพบรถยนต์จอดบนถนนมาลัยแมนประมาณ7-8คัน คนลงมายืนที่ถนน มองเห็นสองสาววิ่งแก้ผ้าก้นขาวห่างไปสักร้อยเมตร โจรกระจอกตกใจกลัวถูกเจ้าของซ่องเล่นงาน ถือปืนวิ่งไล่ตามผู้หญิง คนที่มุงดูเห็นแต่ช่วยอะไรไม่ได้เพราะโจรมีปืนได้แต่ส่งเสียงร้องโหวกเหวก โทรแจ้งตำรวจ ไม่มีใครกล้าเปิดรถรับสาวกลัวโดนปืน สองสาววิ่งหนีเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ไอ้โจรตามเข้าไป บรรดาไทยมุงประมาณ20คนล้อมบ้านไว้ ผมไปถึงพอดี แค่ตะโกนบอกไอ้โจรก็ชูมือให้จับแต่โดยดี บอกแล้วไงว่ามันเป็นโจรจำเป็น ไม่งั้นไม่โดนผู้หญิงหลอกได้ จากการสอบสวนสองสาวมีงานการทำตอนกลางวัน กลางคืนทำงานหารายได้พิเศษ หลงคมรมหนุ่มหน้าตาดีพาไปเที่ยวต่อแต่ไปจบเอาที่ซ่อง รอดมาได้ครั้งนี้เธอคงเข็ด ส่วนผู้อ่านคงจะได้บทเรียน จำได้แม่นเพราะเธอสวยและหุ่นดีจริงๆ โดยจรรยาบรรณพนักงานสอบสวน เรื่องจบแล้วก็จบเลย แต่จิตใจมันห้ามไม่ได้ ถ้าสองสาวยังมีชีวิตอยู่และได้อ่านก็คงจะนึกถึงผมเช่นกัน
เรื่องที่สาม ตอนนั้นไปอยู่ที่กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ แหล่งรวมนักสืบฝีมือฉกาจ ทำงานสืบสวนปราบปรามแข่งกันระหว่างสิงห์เหนือ(กองสืบสวนเหนือ)และเสือใต้(กองสืบสวนใต้) ส่วนสืบสวนธนฯงานก็ไล่มาติดๆ(นานๆทีไม่แข่งกับใคร เสมอต้นเสมอปลาย) เมื่อปลายสิงหาต่อกันยาปี2522เกิดคดีจับตัวเด็กชายวรวิทย์ พัฒนกิจกำจร อายุ3ขวบไปเรียกค่าไถ่ เหตุเกิดท้องที่ สน.พระโขนง ท่านอาจารย์วรรณรัตน์ คชรักษ์เป็นสารวัตรใหญ่ เรื่องสืบสวนเป็นหน้าที่ของกองสืบสวนใต้ มี“เชอร์ล็อกนู”(ท่านธนู หอมหวล)เป็นหัวเรือใหญ่ คดีจับคนเรียกค่าไถ่พวกเราถนัด มีท่านโสภณ วาราชนนท์พระอาจารย์ใหญ่ รอง ผกก.ฯเป็นผู้วางแผน ทีงานรวมแล้ว20คนแบ่งหน้าที่กันทำประมาณ5ชุด หลักฐานแค่ฟังเสียงขู่ทางโทรศัพท์และดูลายมือในจดหมายเรียกเงิน ฟันธงได้เลยแก๊งนครฐม เป็นคนส่งผักให้กับพ่อแม่ของเหยื่อซึ่งอาชีพค้าขายผักสด แก๊งนี้มีชื่อไม่ใช่ขี้ไก่ วางแผนเหนือชั้นสลับซับซ้อน การทำงานเสี่ยงเพราะมีชีวิตของ ด.ช.วรวิทย์ฯเป็นเดิมพัน ถ้าตำรวจทำพลาดเด็กตัวประกันตายแน่
ชุดที่ 1 เปิดฉากก่อน หลอกล่อเช่ารถสองแถวของคนร้ายที่มาส่งผัก กว่าจะเช่าได้ก็ต้องงัดลูกเล่นหลายกระบวนท่า ด้วยชั้นเชิงเหนือกว่าในที่สุดโจรยอม ระหว่างเดินทางก็เข้าสู่แผน ถูกไอ้โม่งตะครุบตัวเข้าเซฟเฮ้าเรียบร้อย เพียงแค่นกกระจอกกินน้ำก็รับสิ้นแต่บอกไม่รู้ว่าตัวประกันอยู่ไหน ตนเองมีหน้าที่เพียงคนเจรจาเรียกเงิน การคุมตัวเด็กเป็นเรื่องของน้องชาย
ชุดที่ 2 ลุยต่อ กว่าจะควานหาตัวน้องชายคนนี้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ด้วยฝีมือไม่ใช่ฟลุ๊ค ได้ข้อมูลจากโจรคนแรกว่า “ถ้าผม(โจร)ไม่รายงานให้น้องชายทราบแสดงว่าเกิดปัญหา มันจะจัดการกับเด็กแน่” วางกำลังดักซุ่มอยู่ที่จุดนัดพบกับโจรคนแรก ไม่นานโจรคนที่สองก็โผล่ เห็นปั๊บก็เดาได้ว่าต้องเป็นน้อง อาการรุกรนบ่งบอกว่าต้องการหาตัวใครสักคน ถูกตะครุบตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชั้นเชิงโจรหรือจะสู้มือปราบได้ แค่คำถามเดียวก็ออกหมด“ผมมีหน้าที่ประสานระหว่างคนเรียกเงินกับคนคุมตัวเด็ก เด็กอยู่ไหนไม่รู้ ไอ้ไพมันเอาไปซ่อน” หนักละซีตามหาตัวไอ้ไพรู้เพียงว่าเป็นนักเลงอยู่แถวบางบ่อแต่ไม่รู้จักบ้าน บ่ายสองโมงแล้วตะครุบตัวไป2คนยังไม่ได้เรื่องว่าตัวประกันอยู่ไหน ถ้าค่ำมืดเด็กตายแน่ พระอาจารย์โสภณฯบอก“เป็นไงเป็นกัน ถ้าไอ้ไพเป็นนักเลงจริงตำรวจท้องที่ต้องรู้จัก ลุยโรงพัก”
ชุดที่ 3 มุ่งไปที่โรงพักบางพลี ตำรวจท้องที่ดีเหลือหลาย ใครบ้างไม่ได้จดจำชื่อเพราะเวลามีจำกัด กำลังตำรวจท้องที่นอกเครื่องแบบได้ยิน"ไพ"ชื่อร้อง“อ๋อ” พวกเราใจตุ๋มๆต้อมๆเพราะ“งานเปิด”แล้ว ข่าวรู้กันวงกว้าง หากไม่ใช่ไอ้ไพที่ต้องการ หรือถ้าใช่แต่พรรคพวกคนร้ายรีบส่งข่าวถึงกัน ตัวประกันอาจมีอันตราย ชุดสืบสวนท้องที่ก็ฝีมือชั้นครู บอกให้พวกเราอยู่เฉยๆน้องจัดการเอง สักพักใหญ่ๆไอ้ไพก็ถูกนำตัวมาสอบ รับว่าเป็นคนจัดหาที่ซ่อน อยู่ที่บ้านเพื่อนกลางบึงน้ำรักฉะเชิงเทรา ต้องนั่งเรือหางยาวเดินทางลุยป่าข้าวไปสัก2ชั่วโมง เอาละซี ตะครุบได้3คนแล้วแต่ยังห่างจากตัวประกันเหลือเกิน เวลาก็เกินบ่ายสามไปแล้ว พวกเราเดินทางมากันด้วยรถยนต์แล้วจะแปลงเป็นเรือได้ยังไง แทบต้องเอาเท้าก่ายหน้าผาก
ชุดที่ 4 รวมกินโต๊ะ ทั้งนักสืบท้องที่และพวกเรารวมกันหมด เช่าเรือหางยาวได้5ลำ จุดลงเรือที่คลองปลัดเปรียง มองไปกลางทุ่งสุดสายตาจรดขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเห็นเพียงต้นไม้เขียวห่างไปสัก5กิโล การเดินทางใช่จะสะดวก ต้องแหวกต้นหญ้า ต้นข้าวและกอสวะ หลายครั้งต้องหยุดเครื่องเรือเพราะสวะพันไปจักร มองปลายทางเห็นตะวันดวงโตสีแดงใกล้ลับขอบฟ้า 5โมงเย็นแล้วยังไปไม่ถึงไหน ใกล้ถึงจุดประมาณกิโลต้องดับเครื่องเรือใช้พายแทนเพราะเครื่องเรือดังคนร้ายจะรู้ตัว พายก็ไม่มีใช้กระดานปูท้องเรือบ้าง เอามือพายบ้างทุลักทุเล เข้าไประยะใกล้ประมาณ50เมตรเป็นที่โล่งมองเห็นบ้าน ทำนองเดียวกันคนในบ้านก็มองเห็นเรา เอาละเป็นไงเป็นกันดับเครื่องชน เรือหางยาวทุกลำติดเครื่องเดินหน้าเต็มสปีดพุ่งใส่บ้าน เจ้ากรรม เหลือประมาณสัก20เมตรจะถึงบ้านซึ่งเป็นเกาะ เรือติดสวะเข้าไปไม่ได้ นักสืบหลายคนรอไม่ไหวโดดลงน้ำ ผลน้ำมิดหัวต้องตะเกียกตะกายคว้ากอสวะและต้นข้าว ผมอยู่บนเรือค่อยสาวต้นข้าวเข้าไป ถึงบ้านเป้าหมายพอๆกับพวกที่โดดน้ำ เจอแต่ผู้หญิง2คนกอดเด็กผู้ชายพากันร้องไห้ระงม ผมถามเด็กว่า“วรวิทย์หรือเปล่า” เด็กตอบว่า“ใช่ครับ” ทุกคนโล่งอกเหมือนถูกยกภูเขาออกไป
*ผู้หญิงสองคนบอกไม่รู้เรื่องลักพา ตนมีหน้าที่ดูแลเด็ก มีคนคุมชื่อปรีชาหรือแดงฯโดดน้ำหนีไปแล้ว บรรดานักสืบแยกย้ายกันแหวกกอหญ้ากอสวะ ตะโกนบอกให้ขึ้นมาไม่งั้นจะยิง (มีการยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าหลายนัด) ประเดี๋ยวก็มีเสียง“ผมยอมแล้วครับ” คือถ้าไม่ยอมมันก็คงจมน้ำตายเพราะน้ำลึกมาก ในที่สุดกับจับนายปรีชาหรือแดงฯได้ นำตัวไปสอบสวนดำเนินคดี
*จุดที่ฝังในความทรงจำ ผมยังนึกถึงเด็กชายวรวิทย์ พัฒนกิจกำจร ตอนเกิดเหตุอายุเพียงแต่3ขวบคงจะจำอะไรไม่ได้ เป็นความภาคภูมิใจของผมและทีมงานแบบว่าช่วยกันทั้งกองรวมทั้งกองทัพนักข่าว เป็นการทำงานที่เดิมพันด้วยชีวิต ถ้าพลาดตัวประกันอาจถูกฆ่าตายเหมือนรายนางกิ่งแก้ว รอสูงเนิน ที่ร่วมกับพวกลักพาเด็กไปเรียกค่าไถ่ ทีมงานทำพลาด ข่าวรั่วเด็กจึงถูกฆ่า
*ผมนำเรื่องนี้ลงใน www.angkul007 เมื่อ 19 ม.ค.2551 คุณวรวิทย์ฯก็ได้ตอบมา ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือ ปัจจุบันเรียนจบปริญญาโท ทำงานการเป็นหลักฐาน เขาเก็บรวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์ทั้งไทยรัฐ เดลินิวส์ ดาวสยาม และอีกหลายฉบับที่ลงข่าวเรื่องนี้อย่างละเอียดเมื่อ 2 ก.ย.2522 ข่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจที่ก่อให้เกิดความมุ่งมั่นในการทำงานของเขา
*นี่แหละครับ เป็นความภาคภูมิใจของคนปิดทองหลังพระ พวกที่ช่วยให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขและรู้สึกปลอดภัย.


"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์